นั่งทำงานนานๆ โอ้ย เริ่มมีปวดเมื่อยคอ ปวดสะบักไปหมด
เราจะเป็น Office Syndrome มั้ยนะ
Office Syndrome เป็นชื่อเล่นของกลุ่มอาการ Myofascial Pain Syndrome หรืออาการปวดพังผืดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ที่เกิดขึ้นใน Upper-Crossed Syndrome ซึ่งเป็นกลุ่มอาการยอดฮิต ที่น้องใหม่ Work From Home อาจจะต้องมาทำความรู้จักกันนะครับโดยอาการโดยทั่วๆไปของ MPS มักจะปรากฎดังนี้
- มีจุดกดเจ็บ (Trigger Point) และมีอาการปวดตามแพทเทิร์นแต่ละกล้ามเนื้อ (Referral Pain Pattern) (ซึ่งแต่ละมัดก็ไม่เหมือนกัน บางมัดปวดขึ้นขมับ บางมัดขึ้นศีรษะคล้ายไมเกรน บางมัดลงสะบัก บางมัดเข้าเบ้าตา)
- มักจะมีอาการปวดตื้อร้าว ไม่ใช่แค่รู้สึกเมื่อยตึงทั่วไป
- มีการยึดติดตึงเคลื่อนไหวไม่เต็มช่วง เช่น หมุนคอไปซ้ายขวาไม่เท่ากัน ยกแขนแนบหูไม่ได้ บางรายมีเสียงกร๊อบแกร๊บเวลาขยับด้วย
- พบว่ากล้ามเนื้อ มีภาวะแรงลดลง (Weakness) โดยไม่มีการฟีบลงของมัดกล้ามเนื้อ (No Arrophy)
- บางรายมีอาการชายิบๆ ซ่าๆ ลงมือ หรือแขนได้
ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการครบดังกล่าวนะครับ อาการจำพวกปวดตลอดเวลา มีการชามือ ชาแขนร่วมนี่ถือว่าเป็นหนัก และอาจจะมีภาวะอื่นๆร่วมด้วย (ควรพบแพทย์นะครับ)
ในบางรายที่อาจจะแค่มีเมื่อยตึง หรือมีปวดร้าวๆไปแค่บางบริเวณ พักแล้วดีขึ้น ก็อาจจจะเป็นแค่ขั้นเริ่มต้น
ถ้าจะให้ชัวร์ก็ต้องมีการซักประวัติ และตรวจร่างกาย
แต่เชื่อว่า แต่ละคนอาจจะมีอาการใดอาการนึงอยู่บ้างที่เข้าข่าย สิ่งที่เราพอจะสังเกตได้เบื้องต้นก็คือเรามีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้เราเป็นหรือเปล่า
โดยปัจจัยเสี่ยงที่เราลิสต์มาจะเป็นปัจจัยเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental and Ergonomics Factor) และสมรรถนะร่างกายของเราเอง (Physical Fitness) ลองประเมินความเสี่ยงง่ายๆดูนะครับ
- นั่งทำงานกับคอม โน้ตบุ๊ค อย่างต่ำ 5 ชม ต่อวัน
- ขอบบน ของจอคอมพิวเตอร์หรือแล็บท็อป ต่ำกว่าระดับสายตา
- จอคอมพิวเตอร์หรือแล็บท็อป อยู่ใกล้หรือไกลกว่าระยะ 45-70 cm
- คอยื่นเป็นปกติ (Forward Head Posture) หรือนั่งทำงานไปๆมาๆไม่นาน คอก็ยื่น
- ออกกำลังกาย น้อยกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์
จะเห็นได้ว่าโต๊ะทำงาน สิ่งแวดล้อมนั้นเป็นปัจจัยสำคัญเลย ที่ทำให้เกิดอาการปวดตามกล้ามเนื้อได้
และต้นทุนร่างกายจำพวกความแข็งแรง ความยืดหยุ่นก็มีความสำคัญไม่แพ้กันในการไปช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการต่างๆได้
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงมีความจำเป็นอย่างมากเลยครับ ที่ทำให้เราสามารถต่อสู้กับงานได้ทุกรูปแบบ






ถ้าเราเป็น Office Syndrome มันส่งผลอะไรบ้าง มันแย่ยังไง กระทบกับอะไรบ้าง นำไปสู่อะไรได้อีก
1. ประสิทธิภาพของการทำงานลดลง
แน่นอนว่าการที่เราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการที่เรามีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้า กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ถ้าเรามีอาการปวด เมื่อย ล้ากล้ามเนื้อ เป็นๆ หายๆ ย่อมทำให้เราไม่จอจ่อกับงาน ต้องค่อยขยับตัว ทนกับอาการปวด นั่งทำงานได้ไม่นาน ก็ต้องหยุดพักก่อน
2. ออกกำลังกายไม่ได้ ออกกำลังกายได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
เมื่อมีอาการปวด เราอาจจะออกกำลังกายไม่ได้ หรือไม่อยากออกกำลังกาย
เมื่อมีอาการปวด เราอาจจะต้องทนกับความปวดนั้น แล้วฝืนออกกำลังกายไป
หรือถ้าไม่มีอาการปวด แต่มีอาการตึง กล้ามเนื้อไม่สมดุล ความแข็งแรงน้อย เคลื่อนไหวได้น้อย ควบคุมร่างกายได้แย่ลง ก็เสี่ยงต่อบาดเจ็บ
3. นำไปสู่โรคอื่นๆ ที่แก้ไขได้ยากขึ้น
เช่น Fibromyalgia, Thoracic Outlet Syndrome
– Fibromyalgia คือ อาการปวดเรื้อรังบริเวณกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด ที่กระจายหลายแห่งตามร่างกาย (Chronic Widespread Pain) และต้องมีอาการร่วมซึ่งมีหลากหลาย เช่น อาการอ่อนเพลีย วิตกกังวล นอนหลับผิดปกติ ปวดศีรษะ ไมเกรน เป็นต้น
– Thoracic Outlet Syndrome คือ อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมือ แขน มีเหน็บชา หรือประสาทสัมผัสของแขนผิดปกติไป จากการโดนกดทับเส้นประสาทหรือหลอดเลือด จากกล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อต่างๆ ในช่วงคอ อก และรักแร้ ซึ่งในบางรายอาจเกิดภาวะปวดต้นคอด้านหน้า ปวดตามแขนเรื้อรัง ร่วมกับชาซ่า มีอาการร้อนหรือเย็นแขนวูบวาบ กล้ามเนื้อในมือฝ่อลีบได้เลย
ต่อมาคืออาการ แค่ไหนถึงจะหนัก ตอนนี้เราเป็นหนักหรือยัง ดูยังไงได้บ้าง
ตามที่กล่าวไว้ Upper-Crossed Syndrome พวกปวดปวดหลังบน สะบัก คอบ่า สามารถจัดอยู่ในกลุ่มโรคที่สัมพันธ์กับการทำงานได้ด้วย (Work-Related Musculoskeletal Disorders) โดยทางการแพทย์ จะแบ่งระดับความหนักของอาการได้ตามนี้

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะปวดระดับไหน หมายความว่า งานที่ทำเริ่มหนักและส่งผลกระทบต่อสุขภาพแล้วนะครับ
– ระดับ 1 จะบ่งบอกว่าร่างกายมีส่วนด้อยที่ต้องพัฒนา เช่น ความยืดหยุ่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
และต้องมีการปรับงาน ปรับสิ่งแวดล้อม เช่น โต๊ะทำงาน จอคอม ให้มีความเหมาะสมกับร่างกาย
– ระดับที่ 2 แน่นอนว่ามีความรุนแรงกว่าระดับแรก คนกลุ่มนี้ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการทำกายภาพบำบัด หรือแพทย์ทางเลือก เพื่อให้อาการเหล่านั้นดีขึ้นก่อน และแน่นอนว่าต้องมีการพัฒนาร่างกาย ร่วมกับปรับ work environment
– ระดับที่ 3 ถือว่ามีความรุนแรงที่สุด ในระดับนี้ควร พัก การทำงาน เปลี่ยนไปทำงานกิจกรรมอื่นๆเลยครับ เพราะเนื่องจากการรักษา อาจจะแค่ช่วยประคับประคอง แต่ก็ทำให้เกิดผลเสียในระยะยาวต่อร่างกาย รวมถึงการออกกำลังกายสร้างต้นทุนร่างกายให้ยืดหยุ่นและแข็งแรง
โดยไม่ว่าจะเป็นอาการระดับไหน จะมากจะน้อย
ทางการแพทย์แนะนำให้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูเพื่อไม่สร้างให้เกิดปัญหาในระยะยาว
ถ้ายิ่งเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย ยิ่งมากขึ้น อาจจะยิ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพต่อการออกกำลังกายได้เช่นกัน
ยิ่งออกกำลังกาย ยิ่งปวด ยิ่งปวด ยิ่งไม่อยากออกกำลังกาย
อาการของโรคเหล่านี้อาจไม่ได้นำไปสู่การเสียชีวิต แต่ถ้าเรามีอาการจนทำให้เราไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้เราหยุด เราล้มเลิก ไม่อยากขยับร่างกาย ไม่อยากออกกำลังกาย ทำให้พฤติกรรมเราเปลี่ยนไป ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้