Personal Trainer เป็นอีกหนึ่งอาชีพทางด้านสุขภาพที่ต้องทำงานกับร่างกายของมนุษย์ จริงมั้ยครับ? ลองนึกถึงวิชาชีพทางด้านสุขภาพอื่นๆ ที่ค่อนข้างจะซีเรียส จะต้องมีการควบคุมคุณภาพ มีระบบ ระเบียบในปฏิบัติชัดเจน อย่างแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัดและอาชีพอื่นๆ แม้เนื้องานจริงๆ จะไม่ได้เป็นการตัดสินความเป็นความตาย แต่ Personal Trainer ก็สามารถทำให้ร่างกายเกิดการบาดเจ็บและเป็นอันตรายได้เช่นกัน ซึ่งทำให้จริงๆ แล้ว Personal Trainer ก็เป็น “Health Professionals” ที่ซีเรียสเหมือนกันจำเป็นต้องมีการควบคุมมาตรฐานและคุณภาพที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้รับบริการ
อย่างที่หลายคนทราบว่า ในอเมริกา และประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง Personal Trainer เป็นอาชีพที่มีการควบคุมมาตรฐานการทำงาน มีองค์กรรับรองมาตรฐาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้รับบริการ และมีมาตรฐานการให้บริการที่ชัดเจน รวมถึงหากลูกค้าเกิดอันตราย เกิดความเสียหายก็ยังฟ้องร้องกันได้อีกด้วย
องค์กรระดับโลกอย่าง National Strength and Conditioning Association หรือ NSCA ได้ให้นิยามของ ขอบเขตหน้าที่ของ Personal Trainer ไว้ว่า “NSCA-Certified Personal Trainers (NSCA-CPT®) are health/fitness professionals who, using an individualized approach, assess, motivate, educate, and train clients regarding their personal health and fitness needs. They design safe and effective exercise programs, provide guidance to help clients achieve their personal health/fitness goals, and respond appropriately in emergency situations.” (NSCA, 2021)
“Personal Trainer” คือ วิชาชีพทางด้านสุขภาพ ที่มีหน้าที่ในการประเมิน, กระตุ้น, ให้ความรู้ และฝึกหรือสอนออกกำลังกายให้กับลูกค้าที่มีเป้าหมายและความต้องการทางด้านสุขภาพ โดยกระบวนการสอนทั้งหมดจะต้องปลอดภัย สามารถออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมายด้านสุขภาพได้ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม
สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของ Personal Trainer
ถ้าบอกว่า Personal Trainer เป็นวิชาชีพที่เป็นมีมาตรฐานการทำงาน แล้วจะไม่มีการกำหนด หน้าที่ความรับผิดชอบ บทบาทหน้าที่ออกมาก็คงจะแปลกๆ ใช่มั้ยครับ สหรัฐอเมริกา จะมีกฎหมายในการคุ้มครองลูกค้า จากการเข้ารับบริการจากเทรนเนอร์ ที่นั้นจะมีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างชัดเจน มีมาตรฐานการดูแลลูกค้าที่กำหนดโดยองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรม เช่น NSCA และ ACSM ถ้าเกิดการฟ้องร้อง จะถูกเรียกว่า คดีความประมาทเลินเล่อ ศาลจะพิจารณาว่าผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลละเมิดหน้าที่ของตนต่อลูกค้าหรือไม่ ในการตัดสินดังกล่าว ศาลจะประเมินว่าผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลปฏิบัติตามมาตรฐานการดูแลที่กำหนดโดยสมาคมชั้นนำของอุตสาหกรรม เช่น NSCA และ ACSM หรือไม่
เลยทำให้ Personal Trainer จำเป็นต้องเข้าใจและปฏิบัติตามเกณฑ์ที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการปฏิบัติในการปฏิบัติหน้าที่ต่อลูกค้าอย่างเหมาะสม การกำหนดเกณฑ์นี้และแง่มุมเสริมของความซื่อสัตย์และความซื่อสัตย์ที่เป็นพื้นฐานของหน้าที่ของผู้ฝึกสอนส่วนบุคคล ซึ่งเป็นข้อผูกมัดทางกฎหมายที่กำหนดโดยกฎหมาย แล้วอย่างประเทศไทยเราที่ไม่ได้มีการกำหนดอะไรใดๆ
เราจะรู้ไปทำไม? เทรนเนอร์ไทยจำเป็นต้องรู้มั้ย? เอาไว้พูดคุยกันในบทความครับ
NSCA ได้แบ่งหน้าที่และคุณสมบัติของ Personal Trainer ไว้ดังนี้ครับ
1. Qualification
คุณสมบัติของ Personal Trainer ก็เป็นตัวกำหนดความสามารถเบื้องต้นของ Personal Trainer ได้ ความรู้พื้นฐานที่มีเป็นอย่างไร มีความรู้ความเข้าใจร่างกายมนุษย์มากน้อยแค่ไหน จึงจำเป็นต้องเรียนวิทยาศาสตร์ประยุกต์พื้นฐานมากมาย อย่าง Anatomy, Physiology, Biomechanics, Nutrition, Psychology
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี หรือการสอบ Certification ที่รับรองโดยองค์กรระดับนานาชาติต่างๆ ก็ต้องมีการวัดผลเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ความรู้พื้นฐานที่แน่น จะพาคุณไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
- ทำไมตั้งเป้าหมายแบบนี้?
- ทำไมต้องออกแบบโปรแกรมแบบนี้?
- ทำไมให้ลูกค้าฝึกท่านี้?
- ทำไม่ต้องเล่นน้ำหนักเท่านี้?
- ทำไมพักแค่นั้น?
ทุกอย่างที่อยู่ในโปรแกรมคุณต้องตอบคำถามได้บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ที่มีที่มาที่ไป ไม่ใช่การจับแพะชนแกะ
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็น Personal Trainer ที่มี Qualification ที่เพียงพอ?
นี้เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดองค์กรมากมายที่สร้างมาตรฐาน คุณสมบัติต่างๆ ของคนที่จะได้รับการรับรองเป็น Certified Personal Trainer เรื่องขององค์กรที่เราเลือกที่จะได้รับ Certified ก็สำคัญเช่นกัน “ไม่ใช่ที่ไหนก็ได้” เหมือนกันกับ ”ไม่ใช่ทุกโรงเรียนจะเหมือนกันนั้นเอง”
สำหรับที่อเมริกา การปฏิบัติหน้าที่ของเทรนเนอร์ ที่อาจทำให้เกิดอันตราย เกิดความเสียหายได้ มีภาษาทางการที่เราอาจเรียกได้ว่า เป็นความประมาทเลินเล่อ คุณสมบัติของ Personal Trainer จะถูกใช้ในการพิจารณาความไม่ประมาทด้วย ดังนั้นจึงเป็นการดีที่ Personal Trainer จะมีคุณสมบัติที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีกฎหมายของรัฐหรือรัฐบาลกลางใดที่กำหนดคุณสมบัติเฉพาะ เช่น ปริญญา การรับรอง หรือใบอนุญาตในการฝึกอบรมส่วนบุคคล
การศึกษาไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรวิทยาศาสตร์การกีฬาระดับปริญญาหรือหลักสูตรวิชาชีพที่น่าเชื่อถือควบคู่ไปกับประสบการณ์การทำงานที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความสามารถของผู้ฝึกสอนส่วนบุคคล
แม้ว่า Personal Trainer จะมีคุณสมบัติในระดับสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รับผิดชอบต่อความประมาทเลินเล่อ พฤติกรรมของ Personal Trainer อาจต่ำกว่ามาตรฐาน (Standard of Care) แม้จะมีจำนวนปริญญา ประสบการณ์ และใบรับรองในสาขาฟิตเนสก็ตาม
2. Pre-participation Screening
เมื่อบ้านเราไม่มีองค์กรใดมารับรองมาตรฐานของเทรนเนอร์ จึงทำให้ระบบ ระเบียบการทำงานร่วมกันกับวิชาชีพอื่นๆ ก็ไม่มีไปด้วย อย่างการคัดกรองความเสี่ยงเบื้องต้น และการส่งต่อเพื่อรับการประเมินสุขภาพเพิ่มเติมที่ควรได้รับจากแพทย์ก็ไม่มีการปฏิบัติอย่างเป็นมาตรฐาน
การคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นก่อนการออกกำลังกายเป็นลดความเสี่ยง ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ หลายคนอาจจะเคยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา หลากหลายกรณีที่มีคนหมดสติขณะออกกำลังกายในยิม ในงานวิ่ง นั้นเป็นหนึ่งในตัวอย่าง ที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีลูกค้าคนไหนของเรา มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค Cardiovascular Disease หรือไม่
ลูกค้าคนนึงติดต่อคุณมาอยากจะเทรนด้วย
- คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่มีความเสี่ยงโรคที่อาจทำให้เขาเสียชีวิตได้?
- เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ถ้าเขาปฏิบัติตามโปรแกรมที่เราออกแบบแล้ว เขาจะไม่เป็นอันตราย?
ถ้าเขามีความเสี่ยง เราจะทำอย่างไรได้บ้าง ถ้าเสี่ยงแล้วยังสามารถออกกำลังกายได้ โดยแพทย์อนุญาต เราจะปรับเป้าหมายอย่างไร ให้เขาสามารถมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ นี้ก็คือการย้อนกลับไปเรื่องของความรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์การกีฬาอีก
เป้าหมายหลักในการคัดกรองการเข้าร่วมโปรแกรมการออกกำลังกาย คือการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการสูญเสีย หรือเป็นอันตรายของลูกค้า ผ่านการคัดกรองเบื้องต้น และไปจนถึงการคัดกรองทางการแพทย์หากจำเป็น เพื่อที่จะดูว่าลูกค้ามีความเสี่ยงของโรคชนิดใดหรือป่าว สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะปลอดภัย
เทรนเนอร์ไทย ทำอย่างไรได้บ้าง?
แบบฟอร์มการคัดกรองที่เทรนเนอร์สามารถใช้ได้ และนิยมกันทั้งโลก ก็คือ PAR-Q หรือ The Physical Activity Readiness Questionnaire เป็นการคัดกรองที่เข้าถึงและทำได้ง่ายที่สุด
PAR-Q จะประกอบไปด้วยคำถาม Yes/No Question หลัก 9 คำถาม เป็นคำถามเกี่ยวกับ Sign และ Symptoms ต่างๆ ของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่อาจสังเกตได้เอง หากมีการตอบ Yes เพียงหนึ่งคำถาม จะต้องไปตอบแบบฟอร์มข้อย่อยๆ ด้านหลังอีก หากยังคงมี Yes อยู่ จะต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจประเมินเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เมื่อคัดกรองแล้ว จะไม่เจอความเสี่ยงเลย แต่อย่างน้อยก็ช่วยสร้าง Awareness ให้กับทั้งเทรนเนอร์ว่า ถ้าลูกค้าคนนี้มีความเสี่ยงตามแบบประเมิน เราควรจะดูแลและออกแบบโปรแกรมอย่างไรให้เหมาะสม
3. Fitness Testing and Evaluation
เราจะตั้งเป้าหมายได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่สามารถวัดผลได้ ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเราถึงเป้าหมายหรือยัง และนั้นก็ส่งผลต่อความมั่นใจของลูกค้าเช่นกัน
การทดสอบสมรรถภาพ เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ ที่จะช่วยให้โปรแกรมที่ออกแบบตรงกับลูกค้ามากที่สุด เป็น Personalized Program อย่างแท้จริง ไม่ใช่โปรแกรมสำเร็จรูป สิ่งนี้ก็จะช่วยตรวจเช็คโปรแกรมด้วยว่า มันไปในทิศทางที่ควรจะไปหรือยัง ยังตรงปรับเปลี่ยนอะไรอีก รวมถึงการปรับเปลี่ยนเป้าหมายด้วยเช่นกัน
เราจะทดสอบสมรรถภาพไปทำไม?
- ให้ได้ข้อมูลตั้งต้น หรือ Baseline Data
- ได้ข้อมูลเหล่านั้นมา “ออกแบบโปรแกรม” ให้เหมาะสมกับลูกค้า
- ติดตามข้อมูลเหล่านั้น เพื่อดูประสิทธิภาพของโปรแกรมของเรา ว่าเราออกแบบมาได้เหมาะสมมั้ย และต้องปรับอะไรอีกหรือไม่
- ข้อมูลเหล่านั้นสามารถใช้เป็นตัวกระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ หรือเป้าหมายให้ลูกค้าได้
เราจะเลือกอะไรมาทดสอบลูกค้าได้บ้าง
ที่สำคัญคือการเลือกการทดสอบที่ Valid และ Reliable กล่าวคือ การทดสอบต้องตรงกับสิ่งที่อยากจะวัด และการทดสอบนั้นต้องมีความเที่ยง ที่ไม่ว่าจะวัดกี่ครั้ง ก็ได้ค่าที่ใกล้เคียงกัน และเลือกตามความเหมาะสมของลูกค้า ตามเป้าหมาย และอุปกรณ์การทดสอบที่มี
โดยทั่วไปการทดสอบที่เราใช้กับลูกค้าทั่วไป ก็มักจะเป็นทดสอบสมรรถภาพทางกายทางสุขภาพท้ัง 5
- Body Composition
- Muscular Strength
- Muscular Endurance
- Flexibility
- Cardiovascular Endurance
การทดสอบที่สามารถวัดสมรรถภาพเหล่านี้ได้ก็มีให้เลือกมากมาย เช่น
- Body Composition อาจจะใช้การวัดเครื่อง BIA, Skinfold, Waist to Hip Girth Ratio
- Cardiovascular Endurance อาจจะใช้ YMCA Step Test, 12 Min Run/Walk หรือ ถ้าจริงจังกับการวิ่ง หรือลงรายการแข่งขังวิ่งก็อาจจะใช้ Vo2max ได้เลย เป็นต้น
4. Program Design
โปรแกรมออกกำลังกาย เป็นเครื่องมือที่สำหรับสำหรับคนเป็นเทรนเนอร์ หรือเป็น Strength Coach เป็นเหมือนแผนที่ที่จะนำทางให้เราพาลูกค้าไปถึงจุดหมายได้ ผสมผสานการซักประวัติ การทดสอบสมรรถภาพ และการตั้งเป้าหมายเข้าด้วยกัน จนเป็นโปรแกรมออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ Program Design พื้นฐานที่สุดคือ การกำหนด Frequency, Set, Rep, Rest Period, etc. แต่ที่มากกว่านั้นคือ เรากำหนดให้ตามความเหมาะสมของลูกค้าและเป้าหมายของเขา
เราต้องมั่นใจว่าโปรแกรมที่เราออกแบบมา อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เราได้จากลูกค้ามา ไม่ว่าจะเป็น
- การซักประวัติ แบบคัดกรองต่างๆ ปัญหาที่มี อาการบาดเจ็บ ไลฟ์สไตล์
- การตั้งเป้าหมายระยะสั้น และระยะยาว
- การทดสอบสมรรถภาพต่างๆ ที่เหมาะสมกับลูกค้าคนนั้น
มันจึงออกมาเป็นโปรแกรมที่เฉพาะสำหรับลูกค้าจริงๆ และเราก็ต้องสามารถบอกที่มาที่ไปของการกำหนด Frequency, Set, Rep, Rest Period, etc. ได้ว่าทำไมถึงกำหนดเช่นนี้ โปรแกรมสำเร็จรูปที่เราอาจจะเคยๆ เห็นทั่วไป และเอามาใช้เองนั้น เป็นไปได้ยากครับ ที่มันจะทำให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมายได้
Program Design ที่ดีคือมาจากการคิดอย่างเป็นระบบ ประกอบการทดสอบสมรรถภาพที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้เราปรับโปรแกรมไปตามสถานการณ์ได้ดี ได้เหมาะสม
ไม่มีโปรแกรมที่ดีที่สุด มีแต่โปรแกรมที่เหมาะสมที่สุด
5. Supervision and Instruction
และสุดท้ายคือสิ่งที่เทรนเนอร์จะต้องทำและให้เวลากับลูกค้ามากที่สุดคือใน Training Session คือการสอน การโค้ช และการกำกับดูแล ระหว่างที่ลูกค้ากำลังออกกำลังกายกับเราอยู่ เราจะต้องสังเกตลูกค้าอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น ท่าทางการฝึกที่เหมาะสม ความหนักที่ใช้ และอาการต่างๆ ของลูกค้าระหว่างนั้น
รวมถึงการปรับเปลี่ยนท่าระหว่างการสอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากลูกค้าทำท่าที่เรากำหนดมาในโปรแกรมไม่ได้ เราจะ progress หรือ regress ท่าอย่างไรได้บ้าง เมื่อมีการปรับเปลี่ยนท่าออกกำลังกาย อาจจะส่งผลไปสู่โปรแกรม ที่อาจจะต้องมีการปรับเช่นกัน เทรนเนอร์ก็จำเป็นจะต้องจดบันทึกในระหว่างการสอนให้เหมาะสม ให้สามารถจะมีข้อมูลไปปรับปรุงโปรแกรมให้ดีขึ้นได้
เราจะปรับเปลี่ยนท่าฝึกได้ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจการทำท่าที่ถูกต้องก่อน และต้องรู้ว่าท่าไหนง่ายกว่า ท่าไหนยากกว่า แบบไหนจะเหมาะสม อีกทั้งยังมีเรื่องของ Coaching Cue ที่จะใช้พูดกับลูกค้าในแต่ละครั้ง Cue แบบไหนลูกค้าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า Cue ไหนเหมาะกับลูกค้ามากกว่า เพื่อให้ระหว่าง Session ลูกค้าเกิดประโยชน์สูงสุด และนั้นก็จะทำให้โปรแกรมของเรามีประสิทธิภาพตามไปด้วย