เกริ่นนำ
การฝึกกีฬา การซ้อมของนักกีฬา เราอาจจะคุ้นเคยกับการฝึกทักษะกีฬาต่างๆ เล่นกีฬาไหน ก็ฝึกกีฬานั้น
- วิ่ง ก็ฝึกวิ่ง ฝึก Drills, เก็บระยะทาง
- จักรยาน ก็ฝึกปั่นจักรยาน, ฝึกควงขา
- ว่ายน้ำ ก็ฝึกว่ายน้ำ,จับ Stroke, เก็บระยะทาง
- เทนนิส ก็ฝึกตีลูกต่างๆ Forehand, Backhand
- กอล์ฟ ก็ฝึกวงสวิง, ไปไดรฟ์, ไปฝึกพัตลูก เป็นต้น
แล้วในวงการวิทยาศาสตร์การกีฬา ก็ได้ค้นพบแล้วว่า การฝึกกีฬาอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถที่จะพัฒนา Performance ยกระดับความสามารถของนักกีฬาในสูงขึ้นได้ นักกีฬาจำเป็นต้องมีฝึกซ้อมแบบอื่นๆ ร่วมด้วย ที่ในปัจจุบันเราจะเรียกการฝึกซ้อมอื่นๆ ของนักกีฬาที่ว่านี้ ว่า Strength and Conditioning
หลาย 20 ปีก่อน เราอาจจะไม่ได้เคยยินได้เห็นคำว่า Strength and Conditioning กันมาก่อนเลย หลาย 10 ปีต่อมาหลังจากที่มีการวิจัย พัฒนาในนักกีฬากันมากขึ้น นักกีฬาในระดับ Elite มีระดับความสามารถที่สูงขึ้น คนสนใจที่จะพัฒนา Performance ในกลุ่มนักกีฬากันมากขึ้น
และกลุ่มอาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน อาชีพที่เกี่ยวข้องโดยตรง กับ Strength and Conditioning ที่ทำหน้าที่ในการลงมือทำงาน ก็คือ Strength and Conditioning Coach
Strength and Conditioning คืออะไร มันก็แค่ยกเวทเฉยๆ หรือป่าว
คำว่า Strength เราคงเข้าใจกันได้ไม่อยาก ซึ่งหมายถึงการฝึก Strength Training การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ระบบประสาทที่ให้ประโยชน์กับสมรรถภาพทางกายกับนักกีฬามากมาย ไม่ว่าจะกีฬาประเภทใด กลุ่ม Power Sport กลุ่มกีฬา Intermittent Sport หรือแม้แต่กลุ่มกีฬา Endurance Sport ก็ตาม
Power Sport
Intermittent Sport
Endurance Sport
คำว่า Conditioning ในความหมายกว้างๆ แปลให้ตรงตัวไปเลยก็หมายถึงกิจกรรมการฝึกที่เป็น ‘การปรับสภาพ’ อาจมีตั้งแต่กิจวัตรการยืดเหยียดง่ายๆ การฝึกที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุง พัฒนาสมรรถภาพทางกายอื่นๆ เช่น ความเร็ว ความอดทน ทักษะตามความเฉพาะเจาะของกีฬา ไปจนถึงการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นหลังการบาดเจ็บเป็นต้น
การฝึก S&C ไม่จำเป็นต้องมีเฉพาะเจาะจง มีความคล้ายคลึงกับฝึกทักษะกีฬาที่คุณทำอยู่เสมอไป เพราะการฝึก S&C มีหลายมิติ หลายเป้าหมาย แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงการฝึก ตอนนี้อยู่ในช่วงการฝึกแบบไหนใน Periodization หรือแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย การฝึก S&C ในเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน
Strength and Conditioning เป็นอะไรที่มากกว่าแค่การยกเวท เข้ายิม ไปยกท่า Deadlift, Squat, Snatch, Clean and Press แต่ยังครอบคลุมการพัฒนาสมรรถภาพทั้งหมดของนักกีฬาและสิ่งที่จำเป็นในการปรับปรุงสมรรถภาพทางกาย ซึ่งรวมถึง Plyometric, Speed และ Agility, Endurance และ Core Stability โดยการฝึก Strength Training หรือความแข็งแรงเป็นแค่จิ๊กซอว์เพียงชิ้นเดียวเท่านั้นเอง
โดยสรุป Strength and Conditioning (S&C) หมายถึงวิธีการฝึกใดๆ ก็ตามที่พัฒนาสมรรถภาพทางกายของนักกีฬาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกซ้อมกีฬาและการแข่งขันกีฬา อาจหมายถึงการฝึกที่ไม่ได้กำหนดโดยโค้ชกีฬาโดยตรงก็ถือเป็น S&C เช่นกัน
แล้วจะฝึก Strength and Conditioning เพื่ออะไร
การฝึกแบบ S&C มีเป้าหมายหลัก 3 อย่างได้แก่
- พัฒนาศักยภาพทางกีฬา (Improve performance)
- พัฒนาศักยภาพในการฝึกซ้อม (Improve the capacity for training)
- ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ (Lower the risk of injury)
1. พัฒนาศักยภาพทางกีฬา Improve Performance
ยกตัวอย่างง่ายๆ ด้วยกีฬาที่หลายคนคุ้นเคย อย่างวิ่งทางไกล
พัฒนา Performance ในกีฬาวิ่งทางไกล ก็คือการมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและระบบประสาทที่ดี ในการออกแรงถีบตัวเองออกจากพื้น ใช้เวลาที่เท้าสัมผัสพื้นให้น้อยที่สุด เพิ่มความถี่ของการก้าวเท้า การพัฒนาระบบพลังงานให้ดีขึ้น ปรับปรุงท่าวิ่งให้ดีขึ้นจากการฝึกความแข็งแรง เป็นต้น
2. พัฒนาศักยภาพในการฝึกซ้อม Improve the Capacity for Training
ศักยภาพในการฝึกซ้อม เราจะหมายถึง การที่ร่างกายของเราสามารถที่จะทนต่อปริมาณการฝึก ความหนักในการฝึกทักษะกีฬาที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเป็นการวิ่งทางไกลเช่นเดิม ก็คือการทนต่อการฝึกวิ่งทางไกล ที่มีการเพิ่มระยะทาง เก็บระยะทางเพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์
หากเราไม่ได้มีการเตรียมร่างกายด้วยแนวคิดของการฝีกแบบ S&C ที่จะสร้างพื้นฐานความเป็นนักกีฬา (athleticism) ก็อาจจะทำให้นักกีฬายากที่จะทนต่อปริมาณการฝึกที่เพิ่มขึ้นได้ เกิดปัญหาคลาสสิคตามมาก็คือ การบาดเจ็บ
3. ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ Lower the Risk of Injury
กีฬาส่วนใหญ่จะมีการเคลื่อนไหวตามทักษะเป็นรูปแบบเดิมๆ ซ้ำๆ อย่างการวิ่งทางไกล ก็จะเป็นการตบเท้าลง การรับน้ำหนักผ่านข้อต่อต่างๆ ฝ่าเท้า ข้อเท้า เข่า สะโพก ส่วนล่างของร่างกายทั้งหมดซ้ำไปซ้ำมา ไม่น่าแปลกในที่จะเกิดการบาดเจ็บได้
การฝึก Strength Training ด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการวิ่ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อที่ใช้วิ่งสามารถทนต่อแรงกระแทกซ้ำๆ ได้ดีขึ้น และการฝึก Strength Training ด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิ่งโดยตรง ก็มีความจำเป็น เพราะช่วยลด Muscle Imbalance ที่จะเกิดจากการฝึกวิ่ง การใช้กล้ามเนื้อเดิมๆ ซ้ำๆ
การลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บยังส่งผลต่อ Performance ทางอ้อม ด้วยการที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการบาดเจ็บ ที่จะต้องมีการพัก รักษา ฟื้นฟู ทำให้ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ฝึก Performance ได้อย่างเต็มที่
Strength and Conditioning สำคัญแค่ไหน
จากเป้าหมายหลักทั้ง 3 อย่าง น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอ ที่จะบอกว่า การฝึกแบบ S&C มีความสำคัญกับนักกีฬาอย่างมาก เพราะถ้านักกีฬาขาดประโยชน์ทั้ง 3 ข้อไป ก็อาจทำให้เส้นทางการเป็นนักกีฬาสะดุดได้
ในต่างประเทศ ที่เป็นมหาอำนาจทางกีฬา วงการกีฬาพัฒนาขึ้นขีดสุด
Strength and Conditioning เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มีการนำเข้าไปฝึกตั้งแต่ในระดับประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ทีมชาติ และลีกอาชีพ นักกีฬาของเขาได้รับการพัฒนา Performance อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
ล้วนผ่านการฝึกแบบ Strength and Conditioning ทั้งสิ้น
ใครเหมาะกับ Strength and Conditioning บ้าง
S&C จะไม่ได้เท่ากับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทั่วไป ลดน้ำหนัก เพิ่มกล้าม แต่มองเป้าหมายเพื่อพัฒนา Performance
ใครก็ตามที่เป็นนักกีฬา ไม่ว่าจะช่วงวัยไหน ที่อยากจะพัฒนาสมรรถภาพ พัฒนา Performance ของกีฬาที่ตัวเองเล่นให้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ ก็เหมาะที่จะได้รับการฝึกแบบ S&C ทั้งสิ้น
ยกเว้นแต่ว่าเราอาจจะยากเล่นกีฬาแบบขำๆ สนุกๆ กับเพื่อน เป็นกิจกรรมสันทนาการ ก็อาจจะยังไม่จำเป็น เพียงแค่ออกกกำลังกาย พัฒนาสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ให้สุขภาพดีเอาไว้ก็เพียงพอ